จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

Do you believe in Destiny ????



Do you believe in Destiny ??? 
And
Can you Change it ???

                       คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิต หรือ ชะตาฟ้าลิขิตไหมครับ ผมกำลัง มองหาความสัมพันธ์ ในเรื่องนี้อยู่ ว่ามันมีจริงไหม ??? ลองคิดดูตั้งแต่เราเกิดมา เกิดเหตุการณ์นับไม่ถ้วน รู้สึกดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ปนกันไป อย่างนี้เรื่อยมา 


                       แต่สิ่งที่ผมเชื่อใน Destiny (จริงแล้วมันแปลได้หลายแบบ คือ พรหมลิขิต, ชะตากรรม) ว่ามีอยู่จริง คือ สิ่งเหล่านี้ จะนำมาซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ผ่านเข้ามาในชิวิตเรา ในรูปแบบต่างๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการ พบปะเจอผู้คนต่างๆที่เขามาในชีวิตในสังคมเรา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ ว่าเราจะเจอรู้จักคนแบบไหนยังไง แล้วใครจะเข้ามาในชีวิตเรามั่ง ลองนึกดูว่าที่ผ่านมาเราเจอใครแบบบังเอิญๆ โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกันมาก่อนเลย ทั้งเคยรู้จัก และยังรู้จักพูดคุย กันจนถึงทุกวันนี้ ผมเลยมองว่า destiny น่าจะเป็นตัวกำหนดเหตุการณ์ต่างๆให้เข้ามา ให้ต้องเจอมากกว่า  แต่ !!! .................... เหตุการณ์เหล่านั้น ผมว่ามันไม่สามารถ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้ทั้งชีวิต เท่ากับ เราเลือกที่จะ decide ยังไง ณ เหตุการณ์ที่ได้เข้ามา ณ เวลานั้นมากกว่า  อย่างเช่น สมมุติ เหตุการณ์ A เข้ามาให้เราตัดสินใจ คำตอบอาจมากมายหลายรูปแบบ ซึ่ง อาจจะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปได้ในทางใดทางหนึ่ง สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือว่า เราจะสามารถฝืนสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ได้หรือไม่ เช่นตอนนี้ผมเป็น ทหาร อนาคต ผมจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอาชีพอื่นหรือเปลี่ยนไปใช้ชืวิตอย่างที่ผมชอบได้หรือไม่ แล้วถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอฟ้าลิขิต แล้วเรายังจะเปลี่ยนได้ไหม  หรือเรารู้แล้วว่าชีวิตเราต้องการอะไร เราก็พยายามทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้ to be .... สิ่งนั้น มันน่าจะสมเหตุสมผลกว่าไหม และสิ่งสุดท้ายที่อยากจะสื่ออีกนิดจริงๆคือ คนจน ถ้ารอฟ้าลิขิตจะรวยไหม แล้วคนรวยแล้ว ฟ้าจะลิขิต ให้เปลี่ยนมาเป็นคนจนได้ไหม หรือวันนี้ เรารู้ว่าเราต้องการอะไรแล้ว เราเฝ้าทำสิ่งนั้นฝึกฝนเรียนรู้สิ่งที่เราทำ รอคอยโอกาสที่ฟ้าให้มา  แล้วเราทำอย่างมานะเต็มที่ ผลที่ได้นั้นคือ..................... ที่ผมเว้นไว้คือ เลือกเอาเองน่ะครับ ถ้าสำเร็จ ก็คงบอกว่าฟ้าลิขิตไว้แล้ว? แล้วถ้าไม่สำเร็จ ก็ต้องบอกว่าฟ้าลิขิตไว้แล้ว? เอ๊ะ หรือคนเราเพียงหาข้ออ้างในการทำใหใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ ก็เลยโยนไปให้ฟ้าหรือเปล่านะ ^^


                        แต่ยังไงซะผมก็เชื่อว่า เราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ และ ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน !!!! ถ้าเราตั้งใจอย่างจริงจังแล้ว ใน 10 ครั้งมันจะต้องมี สัก 1 ครั้งที่เราชนะ ขอให้ 9 ครั้งที่เราแพ้ เราเก็บมาเป็นบทเรียน ล้มแล้วก็ลุกขึ้นยืนสู้ใหม่ แล้วคุณจะรู้ว่า ถ้าไม่มี 9 ครั้งในวันนั้น คงจะไม่มี 1 ครั้งที่ชนะในวันนี้ !!!! 



วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

!!! Greed and Fear ความโลภและความกลัว สิ่งที่คุณหลายๆคนมองข้ามไป


                วันนี้อยากเขียนเรื่อง Greed and Fear คร่าวๆ ในชีวิตประจำวัน ของคนเรานะครับ ลองอ่านกันดูคิดเห็นอย่างไรก็แชร์กลับมามั่งนะครับ ปกติพฤติกรรมของมนุษย์เรานั้นจะมีความ โลภ และความกลัว ติดตัวมาโดยกำเนิด ความโลภต่างๆ สังเกตได้ง่ายๆ ก็คือความอยากมี อยากได้ต่างๆ นานา จนต้องไปโกงเค้า ไปลักทรัพย์ ก่อกรรมทำเข็ญ กันมากมาย เพื่อให้ได้ครอบครองในสิ่งที่เราต้องการ เพื่อสนองตัณหาความโลภของเรา  ส่วนความกลัว เคยไหม? กลัวที่จะเสียคนที่เรารัก เสียลาภ เสียยศ เสียความมั่งมี ความร่ำรวย ที่มีอยู่ กลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวจนไม่อยากจะทำอะไรเลย เพราะความกลัว ผมก็เลยมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คอยขจัดขัดขวางไม่ให้เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ รวมไปถึงความมั่งมีที่จะเข้ามาด้วย มาดูกันว่าเพราะเหตุใด
                อย่างแรกเลย ลองสังเกตดีๆ พฤติกรรมของมนุษย์เรา เวลาที่ไม่มีเงินมาเกี่ยวข้อง อะไรๆก็ดีไปหมดพูดได้ทุกอย่าง แต่เมื่อไหร่ที่มีผลประโยชน์ หรือมีตัวเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง นิสัยจะเปลี่ยนไปโดยทันที เพราะอะไรล่ะ ใช่ความโลภไหมที่ทำให้เราเปลี่ยนไปในจังหวะหนึ่งๆ เหมือนกันเล็กๆน้อยกับเวลาที่เงินเดือนออก เคยรู้สึกดีใจไหมว่าเงินเดือนออก หรือ ทำอะไรให้ได้เงินมาสักก้อน ( จะได้หวย หรือ ไปกู้มาก็ได้ ) คุณจะรู้สึกว่า ดีใจจัง ไปเที่ยวไหน Shopping อะไรดี อยากได้อะไรน้า ซื้อดีกว่า  โดยที่ไม่รู้ตัวว่า นี่ก็คือความโลภ ที่จะทำให้เราลืมว่าเงินนี้มันเงินเดือนนี่หว่าหรือนี่มันเงินที่เราจะต้องใช้ทั้งปีเพื่อต่อทุนเข้าไป ดังนั้นเรามีแผนการใช้เงินอย่างไรก็ควรใช้เท่าเดิม คุณเห็นด้วยไหมครับ ????
                อย่างที่สองที่เห็นได้ชัด ก็คือ เวลาเราใช้เงินไปแล้วรู้สึกว่าเงินในบัญชีลดลง คุณรู้สึกยังไง ? คงไม่มีใครบ้าดีใจใช่ไหม เมื่อเงินคุณลดลง คุณก็รู้สึกกลัวว่าเงินที่มีอยู่มันจะหมด คุณเลยต้องเขียมต้องประหยัด หรืออาจจะต้องเบียดเบียนผู้อื่นซึ่งให้ได้เงินมามากกว่าเดิม พอเสร็จแล้ว ได้เงินมาก็เข้าอีหรอบเดิม มันก็จะวนอยู่อย่างนี้ เห็นไหม !! คุณไม่มีทางหลุดพ้นได้เลย หากคุณไม่มีการวางแผนการใช้เงินที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง

                สิ่งที่ผมจะสื่อให้เห็นก็คือ หากเราวางแผนการใช้เงิน ได้อย่างถูกต้อง เราก็จะรู้ว่า เราต้องใช้อะไรบ้าง เหลือเท่าไหร่ เราจะสามารถบริหารเงินที่เหลืออยู่นี้ได้อย่างเหมาะสมกับเราที่สุดเท่าไหร่ แล้วเมื่อมีรายรับรายจ่าย คุณจะไม่กังวลว่าเงินที่คุณมีอยู่จะลดลงจนไม่เหลือเลย เพราะคุณได้วางแผนการใช้เงินไว้แล้ว และเตรียมการสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว เราก็จะมีความรู้สึกอุ่นใจขึ้น เงินจะเพิ่มหรือลด ก็อาจจะมีความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ไม่มากมายเท่าไหร่ เพราะเรามีแผนการใช้เงินมาช่วยแล้วขั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นความโลภและความกลัวของเรา ในบางครั้ง เราก็ตัดมันออกไปได้!! (บ้าง) ถ้าเรามีตัวช่วยดีๆ คือการจัดการวางแผนบริหารเงิน Money Management และมันจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าคุณสมารถตัดอารมณ์ยินดียินร้ายเหล่านั้นออกไปได้ ( Psychology ,จิตวิทยา ( โลภเมื่อได้เงิน ก็จะโลภต่อไปเรื่อยๆ นำมาซึ่งความหายนะ กลัวเมื่อเงินหด มันก็จะหดไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น ) ทั้งความโลภและความกลัว เพียงตัดไปได้ วางแผนการเงินดีๆๆ ต่อให้เป็นเงินออม ก็สามารถรวยได้ (อย่างพอเพียง) แต่คนส่วนใหญ่ได้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อว่า คนส่วนน้อย ที่สามารถคุมจิตใจของตนเองได้ และมีการวางแผนที่ดี  จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งโดยสุจริตได้ แล้วคุณล่ะ อยากเป็นคนส่วนน้อยนั้นไหม (กฎ 10/90 สัดส่วนคนที่มีความมั่งคั่งรำ่รวย กับ คนมีน้อยหรือคนไม่ค่อยจะมี จะยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะเหตุนี้)
                   ในคราวหน้าผมจะลองเขียนบทความที่เกี่ยวกับ Money Management และ Psychology ที่น่าสนใจให้แลกเปลี่ยนความเห็นกันอีกทีนะครับ

                   ปล.ขอบคุณอาจารย์ลิ่ม ที่จุดประกายการลงทุนที่ถูกต้อง พี่เอ๊ะ Rockon People สำหรับหนังสือดีๆ ขอบคุณครับ