จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

Part2 ความเชื่อและผลลัพธ์ (ตอนจบ)

จากความเดิมตอนที่แล้วนะครับ ติดไว้ที่สมการความเชื่อในอุดมคติที่เขียนออกมาดังนี้นะครับ

X = True  , Y = True     ;     X And Y = True   
X = True  , Y = False    ;    X And Y = False
X = False , Y = True     ;    X And Y = False
X = False , Y = False    ;    X And Y = False

เมื่อ   X = หลักการหรือแนวคิดที่คุณเชื่อ หรือจะเอาเป็นความศรัทธาที่คุณเชื่อก็ได้
        Y = เหตุการณ์หรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็น True หรือ False จากแนวคิดหรือหลักการของตัวแปร X



จากสมการดังกล่าวเราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เราเชื่อ ( X ) = True และจะทำให้ ( Y ) = True และสามารถ Approve ได้ว่า X ที่เราใช้นั้นคือ True จริงๆ ???  ผมว่าสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่ทุกคนต้องการและยังค้นหากันต่อไปเพราะคนเราส่วนใหญ่โดยพื้นฐานมักต้องการความสมบูรณ์แบบ ที่อาจจะมีอยู่จริงหรือไม่จริงก็เป็นได้ ดังนั้นในสมการนี้ X = True  , Y = True  ;  X And Y = True ในความหมายของผมเปรียบได้กับ Holy Grail หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่ว่ากันว่าถึงความเป็นอมตะหากใครได้ดื่มนั่นเอง และแน่นอนไม่ว่าใครก้ต้องการตัวแปร X ที่สามารถการันตีกำไรในตัวแปร Y นั่นเองครับ!!! อืมแล้วมันจะมีอยู่จริงไหมน้าาาา???



ผมเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ครับ เพราะว่าตัวแปร X ที่ว่านั้นมีอยู่จริงไหม ผมเองก็ยังหาไม่เจอเหมือนกัน เพราะถ้าเจอ ผมก็คงอุบเงียบไว้คนเดียว ในเมื่อมันเป็นวิธีการหาเงินที่การันตีนว่าได้กำไรชัวนี่นา ใช่ไหมครับ!!! แฮะ แฮะ สรุปว่ามีไม่มีผมก็ยังไม่รู้ละกันครับ ไม่ชอบฟันธงด้วยเพราะกลัวหน้าแตก เอาเป็นว่าหากใครที่ยังพยายามมองหาควาามสมบูรณ์แบบในการลงทุนอยู่ล่ะก็ ลองมองออกมาอีกนิดครับ X = True  , Y = False   ;   X And Y = False จากสมการนี้เองทำให้ผมได้คิดว่า ในเมื่อความสมบูรณ์แบบนั้นยังหาไม่เจอ ทำไมเราไม่ลองหยิบจับความน่าจะเป็น Probability ที่พอจะทำให้เราได้กำไรในระยะยาวล่ะ!!!



หากเราลองแทนค่า True = Profit , False = Loss ในตัวแปร Y จะทำให้เราสามารถหาค่าเฉลี่ย AverageProfit และ AverageLoss ออกมาได้จากจำนวนครั้งที่เกิด Profit = n1 ครั้ง , Loss = n2 ครั้ง และจากจำนวน n ครั้งทั้งหมด เราจะได้ค่า Expectancy หรือกำไรคาดหวังนั่งเอง เขียนออกมาเป็นสมการดังนี้

Expectancy = [AvgProfit*(n1/n)] - [AvgLoss*(n2/n)] 

ลองแทนค่าดูครับ ในกรณีนี้ ผมขอยกตัวอย่างให้ AvgProfit = , AvgLoss = 1, n1 = 50 , n2 = 50 น่ะครับ

เมื่อแทนค่าลงไปในสมการจะได้ Expentancy = [2*(50/100)] - [1*(50/100)]
                                                             = 1  -  0.5
                                                             = 0.5

จากสมการนี้ ที่ค่าที่ออกมาเป็นบวก (+) สำหรับทัศนคติในการลงทุนของผมแล้วนั่นก็คือ X And Y = True หรือ Holy Grail แบบย่อมๆฉบับนักลงทุนนั่นเองครับ !!!


ดังนั้นแล้วแทนที่เราจะให้ความสำคัญกับตัวแปร X ผมว่าเรามาเน้นกัันที่ผลลัพธ์หรือตัวแปร Y กันก่อนจะดีกว่า หากจะ Approve ว่า X นั้นใช้ได้จริงๆ คุณต้องทดสอบและเก็บค่าผลลัพธ์จากตัวแปร Y ยิ่งจำนวน n ครั้งมาก ก็ยิ่งดีครับ เพราะจะทำให้ค่าเฉลี่ยของผลลัพธ์ที่เราได้จะทำให้ X มีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นอีก!!! 

นี่คือตัวอย่าง Equity Curve ของผลตอบแทนสะสมของ สมการที่มีค่า Expectancy เป็นบวก (+) ครับ




วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Part1 ความเชื่อและผลลัพธ์

ในเมื่อความเชื่อและผลลัพธ์ บางครั้งมันก็แสดงความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกัน !!

ในเมื่อหลายๆคนอาจยังหลงคิดผิดๆ 
คิดว่าการลงทุนนั้น ง่ายแสนง่าย เทรดปุ้บปั้บ ก็รับกำไรกันไปง่ายๆ
ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำงานแล้วลาออกมาเทรดดีกว่าครับ!!!
แต่ช้าก่อนครับ สิ่งที่คุณเห็น อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น++
..
หลายคนที่เข้ามาในตลาดใหม่ๆ บางคนอาจเข้ามาแค่เพียงวันเดียวหรือสัปดาห์เดียวก็สามารถทำกำไรได้แล้ว เลยคิดว่ามันง่ายมากสำหรับการทำกำไร หากคุณกำลังคิดแบบนั้นอยู่ จงเลิกคิดและเปลี่ยนทัศนคติใหม่ซะ !!!
..
เพราะว่า สิ่งที่คุณ ทำในวันนี้ มันเป็นแค่ช่วงเวลาเพียงเศษเสี้ยวเดียว ของ History ทั้งหมดของตลาด หมายถึงว่า คุณเพิ่งเข้ามารับรู้แค่บางส่วนของตลาด ที่อาจจะเป็นช่วงที่ดีของตลาด นั่นก็คือ 

"ตลาดกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และมันอาจเข้ารอยกับวิธีเทรดที่คุณเชื่อและใช้มันอยู่พอดี จึงเกิดเป็นกำไรขึ้นมา"

นี่คุณเพิ่งเข้ามาและรับรู้แค่เศษเสี้ยวเดียวของตลาดเอง จะไปสามารถตัดสินหรือฟันธงอะไรได้ ว่าเงื่อนไขที่คุณใช้เทรดนั้นจะใช้ได้ตลอดเสมอไป ???
..
.
ตัวแปรการตัดสินใจง่ายๆสำหรับผมนั้น ขอยกตัวอย่างง่ายๆแบบนี้ละกัน

X = หลักการหรือแนวคิดที่คุณเชื่อ หรือจะเอาเป็นความศรัทธาที่คุณเชื่อก็ได้
Y = เหตุการณ์หรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็น True หรือ False จากแนวคิดหรือหลักการของตัวแปร X

ยกตัวอย่าง :    

คุณเชื่อว่า การซื้อหุ้นเมื่อ RSI เกิด Oversold ( Buy = RSI <30 )
และขายหุ้นเมื่อ RSI เกิด OverBought ( Sell = RSI >70)
เพราะฉะนั้น ค่า X ของคุณคือ เงื่อนไขการซื้อตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
จากนั้นคุณนำเงื่อนไขของคุณไปทดลองเทรด
ผลปรากฏว่า คุณสามารถทำกำไรได้จริงและเป็นที่น่าพอใจ !!!! 
คุณจึงตัดสินว่าตัวแปร X นี้แหละคือวิธีที่ใช่และสามารถทำกำไรให้กับเราได้ !!!!

ลองมาดูกันเลยดีกว่า สิ่งที่คุณคิดว่าใช่ ผลของมันจะออกมาเป็นอย่างไร



แท่นแท๊นนนน !!! 
ในรูปคือกราฟกำไรขาดทุนสะสม Equity Curve ของเงือนไขดังกล่าว

เส้นสีเขียวคือกราฟกำไรสะสมจากการซื้อเมื่อ RSI > 70 และขายเมื่อ RSI < 30
ส่วนสิ่งที่คุณเชื่อและให้เป็นเงื่อนไข X นั้น คือเส้นสีแดงด้านล่าง !!! กราฟขาดทุนสะสมครับ !!!

และโปรดสังเกตดีๆ ในช่วงที่กราฟตก มันก็จะมีบางช่วงที่กราฟ พยายามชันขึ้นมา
(ได้กำไรมาบ้างตามกรอบสีขาว) นั่นอาจเป็นสิ่งที่คุณพยายาม Approve กับความเชื่อของคุณอยู่ก็เป็นได้จากการทดลองเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวจาก History ของตลาดตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

ดังนั้นสมการความเชื่อในอุดมคติน่าจะเขียนออกมาได้ดังนี้รึป่าว !!!

X = True  , Y = True     ;     X And Y = True   
X = True  , Y = False    ;    X And Y = False
X = False , Y = True     ;    X And Y = False
X = False , Y = False    ;    X And Y = False

เราจะรู้ได้ไงว่า X = True ผมว่าคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะหาค่าความเชื่อที่จะเป็น True และ ทำให้ Y ออกมาเป็น True ได้ แล้วแบบนี้เราควรจะทำอย่างไรดี ???
ใจเย็นๆครับ ผม มีทางออกให้ !!!
แต่ขอพักแปปนึงครับเดี๋ยวมาเขียนต่อ

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความเชื่อที่ขาดการพิจารณา เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ซื้อตามเซียนไม่ขาดทุน จริงหรือ?

คุณ เชื่อไหมว่าเดือนตามผู้ใหญ่มาไม่กัด ???


มีเด็ก 2 คน สนทนากัน ระหว่างทางที่ต้องเดินกลับบ้าน โดยเส้นทางนั้นเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเจอ สุนัข พันธุ์ดุร้าย
เด็กA: จะทำยังไงดี ต้องเดินผ่านทุกวัน เสียวชะมัด ??
เด็กB: เอางี้ไหม เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ครูที่ รร. เคยบอกไว้ ??
เด็กA: อืม ใช่ ที่บ้านฉันก็เคยบอกว่า ให้เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด งี้ เรารอ
             ผู้ใหญ่ผ่านมาแล้วเราเดินตามไปด้วยกันเลยนะ
เด็กB:จัด ไป !!!!

ว่าแล้ว ทั้ง 2 คนก็จูงมือกันกระหนุงกระหนิง รอผู้ใหญ่เดินผ่านมา ก็ ตามก้นไปเลยติดๆ
1st day : ก็เดินตามผู้ใหญ่ไป ปรากฏว่าหมาไม่กัด เอ้ย ยังงี้ที่เค้าว่ากันมา แสดงว่าจริงอ่ะเดะ
2nd day : ก็เดินตามเหมือนเดิม ปรากฏว่า ไม่กัดเหมือนเดิม
3rd day : ไม่กัด
4th day : ไม่กัด
5th day : ไม่กัด




เด็กทั้งสองก็คุยกัน โอ้ว บร๊ะเจ้า โจ๊กมาก เราลองเดินดมก้นผู้ใหญ่มา 5 วันไม่กัดเลย ยังงี้เรากลับบ้านสบายตลอดชีฟเป็นแน่แท้

6th day : หลังจากที่น้องหมา จ้องมา 5 วัน พอมาวันนี้ น้องหมา เริ่มจ้องมองทั้งคู่เดินผ่านไปและเริ่มเดินตาม ทำท่าจะวิ่ง  เข้ามาหาเด็กทั้ง 2 ที่กำลัง เดินตาม ผู้ใหญ่ อย่างสบายใจ จน ทันใดนั้น น้องหมา ก็อ้าปากกำลังจะฝังเขี้ยวลงไป ที่ขา เด็กB ทันทีที่มันเห็นว่าทั้ง 2 คนเผลอ แต่โชคยังดี ที่ มี รถ สวนมาพอดี และบีบแตร เสียงดัง ทำให้ น้องหมา ตกใจและ รีบวิ่งกลับไป ทำให้ทั้ง 2 คน รอดมาได้ โดยที่ไม่รู้ตัวว่า ภัยกำลังจะคุกคามมาแล้ว
7th day : เด็กทั้ง 2 ก็ยังคงเดินตาม เหมือนเดิม และ หวยก็ออกที่ทั้ง 2 คนวันนี้พอดี หลังจากที่ เจ้าน้องหมาวิ่งเข้ามาจากด้านหลัง และ ฝังเขี้ยว ไปที่ ขาของเด็ก A พอดี เด็ก B พยายามจะช่วยก็ไม่วายโดน กัดที่ แขนด้วย จนผู้คนแถบนั้นต้องรีบช่วยเด็กและนำส่ง รพ.ทันที  

หลังจากที่ทั้งสองรักษาตัวอยู่ก็ได้เถียงกันว่า ทำไมน้องหมามันถึงกล้ามากัดเราได้ ไหนบอกว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัดไง ก็โยน ความผิดกันไปมา โทษเพื่อน โทษน้องหมา โทษผู้ใหญ่ โทษทุกอย่าง แต่ไม่โทษตัวเองที่เชื่ออย่างหมดใจ ว่าคนเค้าบอกกันมาว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด  เราก็ทำตามอย่างไม่ลังเล

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัดจริงหรือ???
ถ้าหมามันจะกัด คนที่อ่อนแอกว่า และคนที่เผลอประมาท มันผิดไหม?
แล้วถ้าเดินนำหน้าผู้ใหญ่ล่ะ หมาจะกัดไหม?? มันอาจจะมองว่า เด็กสองคนนี้มันเก่งแฮะเดินนำผู้ใหญ่ ช่างกล้าหาญ ไม่ยุ่งดีกว่าก็มีโอกาสเป็นไปได้ไหม??

สิ่งพวกนี้เราไม่รู้หรอกว่า น้องหมา มันจะกัด หรือไม่กัด เพราะ มันเป็น Probability ความน่าจะเป็นเท่านั้น!! 
ตอนที่เราทดสอบ เราจะรู้ได้ไงว่า 5 ครั้งแรกที่เราไม่โดนกัด แล้วเราจะไม่โดนกัดตลอดไป??
หากลองทดสอบใหม่ มันอาจจะกัดตั้งแต่ ครั้งแรก หรือ ครั้งที่ 2 หรือ 3 แล้วครั้งที่ 4 มันขี้เกียจกัด เป็นไปได้ไหม??
แล้วสิ่งที่เราควรจะทำคือ การทดลองและทดสอบ  ไม่ประมาท ไม่ใช่เชื่อ คนที่มีอายุมากกว่า หรือมี วุฒิมากกว่าอย่างหมดใจ ว่าทำแบบไหนถูก ทำแบบไหนผิด แล้วเราต้องเดินตามตลอด ถามว่า ถ้าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด  แล้วถ้าหมามันคึกอยากกัด จะมีใครมารับผิดชอบไหม??



ยกตัวอย่างให้เห็นภาพพอประมาณ แล้วถ้านำมาเปรียบเทียบกับการลงทุน หล่ะครับ ??

Broker ส่งเมลมาให้ซื้อนั่น ซื้อนี่ มี Upside โน่นนี่ หรือบอกหุ้นเด็ดยังกะใบ้หวย !!
เพื่อนได้ insider มาบอกว่า เจ้ากำลังจะปั่น หุ้นตัวโน้น นี้ หรือแม้กระทั่ง เซียนหุ้นฟันธง ว่าขึ้นแน่ ลงแน่ !!



ถามว่า แล้วถ้าไม่เป็น อย่างที่เค้าบอกเค้าฟันธงไว้ล่ะ เค้ามารับผิดชอบกับเราไหม ถ้าคุณขาดทุน แล้วเค้ามาขาดกับคุณด้วยไหม !! ไม่มีหรอกครับ ความเสี่ยงของเรา เราก็ต้องรับมือคนเดียว ก่อนจะซื้ออะไรควรวางแผนหรือเงื่อนไข ว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ แบบนี้ จะเข้าซื้อ และถือไปจน เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แล้วถ้าซื้อแล้วมันไม่ขึ้น แล้วลงต่อ ก็กำหนด จุดตัดขาดทุน ให้มันสิ 5% หรือ หลุด ค่าเฉลี่ยสั้นๆ 5-10 periods ก็ว่ากันไป ตามความเสี่ยงของแต่ละคนที่ยอมรับได้ ดีกว่า อย่าถามคนโน้นคนนี้ว่าหุ้นโน่นนี่ดีไหมเลย ถ้าเค้าบอกว่าดี คุณจะซื้อไหม? ราคาตอนนี้มันแพงแล้วนะ  แล้วถ้าบอกว่าไม่ดี คุณจะกล้าขายไหม? ซื้อมาตั้งแพงเกือบยอดดอย ความเสี่ยงของเรา เรากำหนดเองดีกว่าครับ เพราะถ้าเราซื้อหรือขายแล้วมันไม่เป็นอย่างที่เราคิดไว้ก็แค่ทำแผนการที่เราวางมา แต่ถ้าทำตามคนอื่น  บอกโน่นนี่ เย็นนี้ DAX ลง คืนนี้ Dow ลง พรุ่งนี้ปู่  Set ลงแน่ ซื้อ Short ก่อนตลาดปิด 17.00 รอไว้เลย แล้วถ้าพรุ่งนี้ปู่ Set เด้ง ขึ้นแรง + ไป 10 จุด คุณขาดทุน 11,000 รวมค่าคอม คุณทนไม่ไหว ปิด Position พอคุณปิดปุ้บมันลงพอดี แล้ว ตลาดก็กลั่นแกล้ง ลงต่ำกว่าจุดที่คุณซื้อมา 10 จุดในตอนแรก ถ้าคนทนถือต่อคุณได้ 9,000 รวมหักค่าคอมไปแล้ว หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คุณจะโทษใคร พี่ DAX พี่ DOW จะมารับรู้กับคุณไหม คราวนี้คุณก็คงโยนความผิดไปให้เจ้า บอก เจ้าทำราคา ฝรั่งหัวดำ ตั้ง Bid Offer แกล้งเรา จนเราพ่ายแพ้ยับเยิน หากใครปิด Position แล้วเปิด Long ตามไป คงโดน Drawdown 2 ไม้ ตายอย่างเขียด ผมคิดว่าหลายๆคน คงเคยเจอกับสิ่งเหล่านี้ แล้วก็โทษคนอื่นโดยที่ไม่ได้  โทษตัวเองแล้วก็หันหลังให้ตลาดไป โดยที่ไม่ได้หยิบบทเรียนราคาแพงนี้ ไปปรับปรุงแก้ไข พฤติกรรมการลงทุนหรือทัศนคติในการลงทุนให้ถูกต้อง แล้วก็ไปสอนลูกสอนหลานว่าอย่าลงทุนเลยมันเสี่ยง !!!!

เสี่ยงเพราะคุณเคยเจ๊งมาก่อน จริงไหม ถ้าคุณสำเร็จ ร่ำรวย คุณคงจะสอนวิธีการลงทุนที่ถูกต้องหรือทัศนคติที่ควรในการลงทุนถูกไหม !!!



ดังนั้นแล้ว การเชื่อ โดยที่ไม่ได้ นำมาไตร่ตรอง พิจารณา พินิจพิเคราะห์ หรือทำแบบทดสอบย้อนหลัง (Backing Test) เพื่อ หาความน่าจะเป็น ก่อน ว่าถ้าคุณซื้อขายโดยเงื่อนไขนี้ 10 ปีผ่านมามีกำไร 7 ปี เฉลี่ยปีละ 50% อีก 3 ปี ขาดทุนปีละ 7%  หรือ ได้กำไรทุกปี แต่เฉลี่ยปีละ 10%   คุยก็ถามตัวคุณว่าคุณทนขาดทุนเพื่อกำไรที่เยอะกว่าได้ไหม ถ้าได้ก็เลือกแบบแรก หรือ ถ้าไม่ชอบทนขาดทุนแต่ขอกำไรเพียงปีละ 10% ก็พอและ ก็เลือกแบบหลัง แล้วก็วางแผนต่อไปว่า ถ้าช่วงที่ขาดทุน ขาดทุนเกินกว่า สถิติ ที่เราเคยทดสอบย้อนหลัง เราอาจจะลดขนาดการลงทุนลง หรือ หยุดใช้ระบบการซื้อขายนั้น ก็แล้วแต่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เพราะบ่อยครั้งที่ผมเห็นระบบซื้อขายที่กำลังอยู่ในช่วงขาดทุนติดต่อกัน (Drawdown)  กลับมาทำกำไรให้กับ Port ของคุณได้อย่างสวยงามก็มีอยู่บ่อยไป ตราบที่ ตลาดยังมีอารมโลภและกลัวของมนุษย์เป็นที่ตั้งและกำหนดพฤติกรรมการซื้อขาย ทำให้เกิดแนวโน้มTrend ต่างๆ และ Price Pattern ในรูปแบบต่าง ๆ อาจจะไม่เหมือนเป๊ะๆในรูปอย่างที่เค้าเขียนกันไว้ในหนังสือ เพราะอารมณ์ของผู้เล่นอาจจะแตกต่างจากเดิมไปบ้าง แต่มันจะยังคงไว้ซึ่งรูปแบบที่ชัดเจน หากเราตัดช่วงเวลา โดยใช้ Point Figure Chart หรือ Renko Chart ตามบทความล่าสุดของคุณลุง Chaloke มาใช้ ก็จะเห็น Pattern ที่ชัดเจนขึ้น
สรุปเลย อย่าให้ใครมากำหนดความเสี่ยงของเราเลยครับ เงินเราเราเลือกที่จะเสี่ยงในแบบที่เรารับได้เองดีกว่า เช่นเดียวกัน
เงินคนอื่นแต่จะมารับความเสี่ยงของเราก็ไม่ดีเช่นกัน นะครับ การนำเงินคนอื่นมาลงทุน แต่ คนที่นำเงินมาให้ลงทุน อาจจะรับความเสี่ยงได้ไม่เท่าเรา ดังนั้น เงินเราเองดีที่สุดครับ

สำหรับวันนี้ก็เขียนมายาวเหยียด ก็สมควรแก่ความรู้ที่ข้าพเจ้ามีอันน้อยนิด ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ เจอกันใหม่คราวหน้าครับ จะมาทำความรู้จักกับความเสี่ยง (Risk) และ ผลตอบแทน (Reward) เพื่อที่จะได้กล่าวถึงเกี่ยวกับ Money Management ต่อไปนะครับ
TriZung Trader เกรียน ^^

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

Do you believe in Destiny ????



Do you believe in Destiny ??? 
And
Can you Change it ???

                       คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิต หรือ ชะตาฟ้าลิขิตไหมครับ ผมกำลัง มองหาความสัมพันธ์ ในเรื่องนี้อยู่ ว่ามันมีจริงไหม ??? ลองคิดดูตั้งแต่เราเกิดมา เกิดเหตุการณ์นับไม่ถ้วน รู้สึกดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ปนกันไป อย่างนี้เรื่อยมา 


                       แต่สิ่งที่ผมเชื่อใน Destiny (จริงแล้วมันแปลได้หลายแบบ คือ พรหมลิขิต, ชะตากรรม) ว่ามีอยู่จริง คือ สิ่งเหล่านี้ จะนำมาซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ผ่านเข้ามาในชิวิตเรา ในรูปแบบต่างๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการ พบปะเจอผู้คนต่างๆที่เขามาในชีวิตในสังคมเรา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ ว่าเราจะเจอรู้จักคนแบบไหนยังไง แล้วใครจะเข้ามาในชีวิตเรามั่ง ลองนึกดูว่าที่ผ่านมาเราเจอใครแบบบังเอิญๆ โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกันมาก่อนเลย ทั้งเคยรู้จัก และยังรู้จักพูดคุย กันจนถึงทุกวันนี้ ผมเลยมองว่า destiny น่าจะเป็นตัวกำหนดเหตุการณ์ต่างๆให้เข้ามา ให้ต้องเจอมากกว่า  แต่ !!! .................... เหตุการณ์เหล่านั้น ผมว่ามันไม่สามารถ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้ทั้งชีวิต เท่ากับ เราเลือกที่จะ decide ยังไง ณ เหตุการณ์ที่ได้เข้ามา ณ เวลานั้นมากกว่า  อย่างเช่น สมมุติ เหตุการณ์ A เข้ามาให้เราตัดสินใจ คำตอบอาจมากมายหลายรูปแบบ ซึ่ง อาจจะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปได้ในทางใดทางหนึ่ง สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือว่า เราจะสามารถฝืนสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ได้หรือไม่ เช่นตอนนี้ผมเป็น ทหาร อนาคต ผมจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอาชีพอื่นหรือเปลี่ยนไปใช้ชืวิตอย่างที่ผมชอบได้หรือไม่ แล้วถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอฟ้าลิขิต แล้วเรายังจะเปลี่ยนได้ไหม  หรือเรารู้แล้วว่าชีวิตเราต้องการอะไร เราก็พยายามทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้ to be .... สิ่งนั้น มันน่าจะสมเหตุสมผลกว่าไหม และสิ่งสุดท้ายที่อยากจะสื่ออีกนิดจริงๆคือ คนจน ถ้ารอฟ้าลิขิตจะรวยไหม แล้วคนรวยแล้ว ฟ้าจะลิขิต ให้เปลี่ยนมาเป็นคนจนได้ไหม หรือวันนี้ เรารู้ว่าเราต้องการอะไรแล้ว เราเฝ้าทำสิ่งนั้นฝึกฝนเรียนรู้สิ่งที่เราทำ รอคอยโอกาสที่ฟ้าให้มา  แล้วเราทำอย่างมานะเต็มที่ ผลที่ได้นั้นคือ..................... ที่ผมเว้นไว้คือ เลือกเอาเองน่ะครับ ถ้าสำเร็จ ก็คงบอกว่าฟ้าลิขิตไว้แล้ว? แล้วถ้าไม่สำเร็จ ก็ต้องบอกว่าฟ้าลิขิตไว้แล้ว? เอ๊ะ หรือคนเราเพียงหาข้ออ้างในการทำใหใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ ก็เลยโยนไปให้ฟ้าหรือเปล่านะ ^^


                        แต่ยังไงซะผมก็เชื่อว่า เราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ และ ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน !!!! ถ้าเราตั้งใจอย่างจริงจังแล้ว ใน 10 ครั้งมันจะต้องมี สัก 1 ครั้งที่เราชนะ ขอให้ 9 ครั้งที่เราแพ้ เราเก็บมาเป็นบทเรียน ล้มแล้วก็ลุกขึ้นยืนสู้ใหม่ แล้วคุณจะรู้ว่า ถ้าไม่มี 9 ครั้งในวันนั้น คงจะไม่มี 1 ครั้งที่ชนะในวันนี้ !!!! 



วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

!!! Greed and Fear ความโลภและความกลัว สิ่งที่คุณหลายๆคนมองข้ามไป


                วันนี้อยากเขียนเรื่อง Greed and Fear คร่าวๆ ในชีวิตประจำวัน ของคนเรานะครับ ลองอ่านกันดูคิดเห็นอย่างไรก็แชร์กลับมามั่งนะครับ ปกติพฤติกรรมของมนุษย์เรานั้นจะมีความ โลภ และความกลัว ติดตัวมาโดยกำเนิด ความโลภต่างๆ สังเกตได้ง่ายๆ ก็คือความอยากมี อยากได้ต่างๆ นานา จนต้องไปโกงเค้า ไปลักทรัพย์ ก่อกรรมทำเข็ญ กันมากมาย เพื่อให้ได้ครอบครองในสิ่งที่เราต้องการ เพื่อสนองตัณหาความโลภของเรา  ส่วนความกลัว เคยไหม? กลัวที่จะเสียคนที่เรารัก เสียลาภ เสียยศ เสียความมั่งมี ความร่ำรวย ที่มีอยู่ กลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวจนไม่อยากจะทำอะไรเลย เพราะความกลัว ผมก็เลยมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คอยขจัดขัดขวางไม่ให้เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ รวมไปถึงความมั่งมีที่จะเข้ามาด้วย มาดูกันว่าเพราะเหตุใด
                อย่างแรกเลย ลองสังเกตดีๆ พฤติกรรมของมนุษย์เรา เวลาที่ไม่มีเงินมาเกี่ยวข้อง อะไรๆก็ดีไปหมดพูดได้ทุกอย่าง แต่เมื่อไหร่ที่มีผลประโยชน์ หรือมีตัวเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง นิสัยจะเปลี่ยนไปโดยทันที เพราะอะไรล่ะ ใช่ความโลภไหมที่ทำให้เราเปลี่ยนไปในจังหวะหนึ่งๆ เหมือนกันเล็กๆน้อยกับเวลาที่เงินเดือนออก เคยรู้สึกดีใจไหมว่าเงินเดือนออก หรือ ทำอะไรให้ได้เงินมาสักก้อน ( จะได้หวย หรือ ไปกู้มาก็ได้ ) คุณจะรู้สึกว่า ดีใจจัง ไปเที่ยวไหน Shopping อะไรดี อยากได้อะไรน้า ซื้อดีกว่า  โดยที่ไม่รู้ตัวว่า นี่ก็คือความโลภ ที่จะทำให้เราลืมว่าเงินนี้มันเงินเดือนนี่หว่าหรือนี่มันเงินที่เราจะต้องใช้ทั้งปีเพื่อต่อทุนเข้าไป ดังนั้นเรามีแผนการใช้เงินอย่างไรก็ควรใช้เท่าเดิม คุณเห็นด้วยไหมครับ ????
                อย่างที่สองที่เห็นได้ชัด ก็คือ เวลาเราใช้เงินไปแล้วรู้สึกว่าเงินในบัญชีลดลง คุณรู้สึกยังไง ? คงไม่มีใครบ้าดีใจใช่ไหม เมื่อเงินคุณลดลง คุณก็รู้สึกกลัวว่าเงินที่มีอยู่มันจะหมด คุณเลยต้องเขียมต้องประหยัด หรืออาจจะต้องเบียดเบียนผู้อื่นซึ่งให้ได้เงินมามากกว่าเดิม พอเสร็จแล้ว ได้เงินมาก็เข้าอีหรอบเดิม มันก็จะวนอยู่อย่างนี้ เห็นไหม !! คุณไม่มีทางหลุดพ้นได้เลย หากคุณไม่มีการวางแผนการใช้เงินที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง

                สิ่งที่ผมจะสื่อให้เห็นก็คือ หากเราวางแผนการใช้เงิน ได้อย่างถูกต้อง เราก็จะรู้ว่า เราต้องใช้อะไรบ้าง เหลือเท่าไหร่ เราจะสามารถบริหารเงินที่เหลืออยู่นี้ได้อย่างเหมาะสมกับเราที่สุดเท่าไหร่ แล้วเมื่อมีรายรับรายจ่าย คุณจะไม่กังวลว่าเงินที่คุณมีอยู่จะลดลงจนไม่เหลือเลย เพราะคุณได้วางแผนการใช้เงินไว้แล้ว และเตรียมการสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว เราก็จะมีความรู้สึกอุ่นใจขึ้น เงินจะเพิ่มหรือลด ก็อาจจะมีความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ไม่มากมายเท่าไหร่ เพราะเรามีแผนการใช้เงินมาช่วยแล้วขั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นความโลภและความกลัวของเรา ในบางครั้ง เราก็ตัดมันออกไปได้!! (บ้าง) ถ้าเรามีตัวช่วยดีๆ คือการจัดการวางแผนบริหารเงิน Money Management และมันจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าคุณสมารถตัดอารมณ์ยินดียินร้ายเหล่านั้นออกไปได้ ( Psychology ,จิตวิทยา ( โลภเมื่อได้เงิน ก็จะโลภต่อไปเรื่อยๆ นำมาซึ่งความหายนะ กลัวเมื่อเงินหด มันก็จะหดไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น ) ทั้งความโลภและความกลัว เพียงตัดไปได้ วางแผนการเงินดีๆๆ ต่อให้เป็นเงินออม ก็สามารถรวยได้ (อย่างพอเพียง) แต่คนส่วนใหญ่ได้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อว่า คนส่วนน้อย ที่สามารถคุมจิตใจของตนเองได้ และมีการวางแผนที่ดี  จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งโดยสุจริตได้ แล้วคุณล่ะ อยากเป็นคนส่วนน้อยนั้นไหม (กฎ 10/90 สัดส่วนคนที่มีความมั่งคั่งรำ่รวย กับ คนมีน้อยหรือคนไม่ค่อยจะมี จะยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะเหตุนี้)
                   ในคราวหน้าผมจะลองเขียนบทความที่เกี่ยวกับ Money Management และ Psychology ที่น่าสนใจให้แลกเปลี่ยนความเห็นกันอีกทีนะครับ

                   ปล.ขอบคุณอาจารย์ลิ่ม ที่จุดประกายการลงทุนที่ถูกต้อง พี่เอ๊ะ Rockon People สำหรับหนังสือดีๆ ขอบคุณครับ